Pages

วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557

“ขยะอิเล็กทรอนิกส์” ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากสังคมเทคโนโลยี



 “ขยะอิเล็กทรอนิกส์ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากสังคมเทคโนโลยี

ด้วยความหลากหลายของเทคโนโลยีที่มีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว จึงเป็นเหตุให้การบริโภคสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง และกระจายไปสู่ประชากรทุกชนชั้น ทั้งโทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์รุ่นใหม่ คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ประกอบกับการก้าวกระโดดของภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำให้การล้าสมัยของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายชนิดเป็นไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ในปีหนึ่งๆ เราบริโภคสินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์กันมากน้อยเพียงใด บางคนอาจจะตอบว่า เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือทุกปี เพราะรุ่นใหม่ๆ ออกมาอยู่ตลอด ถ้าไม่เปลี่ยนอาจจะตกเทรนด์ โดยเฉพาะโทรทัศน์จอแอลซีดี ที่มีราคาต่ำลงจนน่าตกใจ ยังไม่รวมคอมพิวเตอร์ ที่หลายท่านมีไว้ในครอบครองทั้งพีซีและโน้ตบุ้ค ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ หลายท่านก็ใช้ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพหรือเต็มอายุสินค้านัก ก็อาจจะเปลี่ยนใหม่ เรามักจะหาซื้อมาใช้กันมากมาย โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะเสื่อมสภาพการใช้งานเมื่อใด และจะนำไปกำจัดทิ้งอย่างไร เพื่อไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน และผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม


นั่นทำให้เราเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างไม่ตั้งใจในการสร้างกองภูเขาใหญ่ที่ชื่อ ขยะอิเล็กทรอนิกส์
ในวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี ให้ความหมายไว้ว่า ขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีเวสต์ (e-waste) เป็นของเสียที่ประกอบด้วย เครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เสียหรือไม่มีคนต้องการแล้ว ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นประเด็นวิตกกังวล เนื่องจากชิ้นส่วนหลายชิ้นในอุปกรณ์เหล่านั้น ถือว่าเป็นพิษ และไม่สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้
ความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีทุกวันนี้ยังมีส่วนเร่งให้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์อยู่ในสภาพตกรุ่นเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีอัตราการเปลี่ยนเครื่องบ่อยที่สุด อายุการใช้งานของเครื่องคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน อยู่ระหว่าง 3-5 ปี ขณะที่โทรศัพท์มือถือมีอายุใช้งานเฉลี่ย 18 เดือน อายุการใช้งานบวกกับจำนวนผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลกนั้น กำลังเป็นปัจจัยที่เพิ่มขึ้นของขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปพร้อมๆ กัน


ปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์จากทั่วโลกมีมากถึง 40 – 50 ล้านตันต่อปี ในประเทศไทยเองจากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ ในปี 2546 ประเทศไทยมีขยะอิเล็กทรอนิกส์ประมาณ 58,000 ตัน ในปี 2547 – 2548 มีการนำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มือสองจากญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลี และสิงคโปร์ มากถึง 265,000 ตัน จะเห็นได้ว่าเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมากจนน่าตกใจ

ปัจจุบันปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์มีอัตราการเพิ่มสูงขึ้นเป็น 3 เท่าของขยะมูลฝอยในชุมชน โดยเฉพาะขยะที่มาจากผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงรุ่นและตกรุ่นอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีการเลิกใช้ และถูกทิ้งเป็นขยะสะสมเป็นปริมาณมากตามความต้องการของตลาด

นอกจากนี้ ประเทศไทยกลายเป็นส่วนหนึ่งของปลายทางขยะอิเล็กทรอนิกส์จากทั่วโลก ซึ่งถูกแฝงมาในรูปของการนำเข้าสินค้าคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือที่ใช้แล้วจากต่างประเทศ ซึ่งมีอายุการใช้งานสั้น และพร้อมจะเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ สร้างปัญหามลพิษต่อไป

ถ้าหากใครเคยไปเดินที่พันธ์ทิพย์ จะเห็นว่ามีคอมพิวเตอร์มือสองวางขายเป็นจำนวนมาก และคนก็ชอบซื้อ เพราะราคาถูกกว่า 50-70% เลยทีเดียว

วงจรชีวิตของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ผู้บริโภคผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนมาก ไม่ทราบถึงมหันตภัยร้ายแรงที่มีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากวงจรชีวิตของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น การใช้สารพิษที่เป็นอันตรายอย่างสารปรอท ตะกั่ว และสารทนไฟในกระบวนการผลิต ที่สามารถก่อให้เกิดการปนเปื้อนสารพิษในสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของคนงาน อีกทั้งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอนการรีไซเคิล และการกำจัดอีกด้วย

ที่มา : http://chip.in.th

d
d
d
d
d
d
d
d
d
d
d


วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ทึ่ง!! นักศึกษาผลิตคิดค้นหลังคาฟอกมลพิษในอากาศได้

        

        มลพิษทางอากาศนับเป็นปัญหาที่ทั่วโลกต้องเผชิญอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะเกิดเป็นวิกฤตการณ์ในหลายประเทศ จนมีมาตรการออกมาแก้ไขปัญหา เช่น การลดจำนวนรถ รณรงค์ให้หันมาใช้จักรยาน เป็นต้น

อีกความพยายามหนึ่งของนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียคือ  การผลิตคิดค้นผลิตกระเบื้องหลังคาที่สามารถกำจัดก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ที่ถูกปล่อยมาจากท่อไอเสียรถยนต์ หรือโรงงานไฟฟ้าได้

โดยการเคลือบกระเบื้องหลังคาด้วยไทเทเนียมไดออกไซด์ราคาถูก ที่สามารถสลายไนโตรเจนออกไซด์ให้มีขนาดเล็กลงจนลดความอันตรายลงได้ เนื่องจากควันพิษนั้น เป็นปฏิกิริยาเคมีซับซ้อนที่ประกอบไปด้วยส่วนผสมของสารระเหย (VOCs) ไนโตรเจนออกไซด์ และแสงแดด การลดจำนวนไนโตรเจนในอากาศจึงสามารถปรับเพิ่มคุณภาพของอากาศได้ 

และจากสถิติค้นพบว่า การเคลือบไทเทเนียมไดออกไซด์สามารถกำจัดไนโตรเจนออกไซด์ออกจากบรรยากาศได้ถึงร้อยละ 88-97 โดยที่ต้นทุนการเคลือบไทเทเนียมไดออกไซด์ทั้งหลังคานั้นอยู่ที่ราคาเพียง 5 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่สามารถดูดซับอากาศเสียจากรถยนต์ที่วิ่งรวมกันได้ถึง 1,1000ไมล์ในแต่ละปี 




ที่มา www.treehugger.com

วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2557

หลักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ




ในการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรธรรมชาติให้เหมาะสมและได้รับประโยชน์สูงสุด ควรคำนึงถึงหลักต่อไปนี้
          1. การอนุรักษ์และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ต้องคำนึงถึงทรัพยากรธรรมชาติอื่นควบคู่กันไป เพราะทรัพยากรธรรมชาติต่างก็มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์และส่งผลต่อกันอย่างแยกไม่ได้
          2. การวางแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างชาญฉลาด ต้องเชื่อมโยงกับการพัฒนา สังคม เศรษฐกิจ การเมือง และคุณภาพชีวิตอย่างกลมกลืน ตลอดจนรักษาไว้ซึ่งความสมดุลของระบบนิเวศควบคู่กันไป
          3. การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย ทั้งประชาชนในเมือง ในชนบท และผู้บริหาร ทุกคนควรตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมตลอดเวลา โดนเริ่มต้นที่ตนเองและท้องถิ่นของตน ร่วมมือกันทั้งภายในประเทศและทั้งโลก
          4. ความสำเร็จของการพัฒนาประเทศขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์และความปลอดภัยของทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติจึงเป็นการทำลายมรดกและอนาคตของชาติด้วย
          5. ประเทศมหาอำนาจที่เจริญทางด้านอุตสาหกรรม มีความต้องการทรัพยากรธรรมชาติเป็นจำนวนมาก เพื่อใช้ป้อนโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศของตน ดังนั้นประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลายจึงต้องช่วยกันป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจ
          6. มนุษย์สามารถนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติได้ แต่การจัดการนั้นไม่ควรมุ่งเพียงเพื่อการอยู่ดีกินดีเท่านั้น ต้องคำนึงถึงผลดีทางด้านจิตใจด้วย
          7. การใช้ทรัพยากรธรรมชาติในสิ่งแวดล้อมแต่ละแห่งนั้น จำเป็นต้องมีความรู้ในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่จะให้ประโยชน์แก่มนุษย์ทุกแง่ทุกมุม ทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยคำนึงถึงการสูญเปล่าอันเกิดจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติด้วย
          8. รักษาทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็นและหายากด้วยความระมัดระวัง พร้อมทั้งประโยชน์และการทำให้อยู่ในสภาพที่เพิ่มทั้งทางด้านกายภาพและเศรษฐกิจเท่าที่ทำได้ รวมทั้งจะต้องตระหนักเสมอว่า การใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มากเกินไปจะไม่เป็นการปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม
          9. ต้องรักษาทรัพยากรที่ทดแทนได้ โดยให้มีอัตราการผลิตเท่ากับอัตราการใช้หรืออัตราการเกิดเท่ากับอัตราการตายเป้นอย่างน้อย
          10. หาทาวปรับปรุงวิธีการใหม่ ๆ ในการผลิต และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งพยายามค้นคว้าสิ่งใหม่มาใช้ทดแทน
          11. ให้การศึกาาเพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงความสำคัญในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ



สำหรับวิธีการในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาตินั้น ศิริพรต ผลสิทธุ์ (2531 : 196-197) ได้เสนอวิธีการไว้ดังนี้

          1. การถนอม เป็นการรักษาทรัพยากรธรรมชาติทั้งปริมาณและคุณภาพให้มีอยู่นานที่สุดโดยพยายามใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้มีประสิทธิภาพ เช่น การเลือกจับปลาที่มีขนาดโตมาใช้ในการบริโภค ไม่จับปลาที่มีขนาดเล็กเกินไป เพื่อให้ปลาเหล่านั้นได้มีโอกาสโตขึ้นมาแทนปลาที่ถูกจับไปบริโภคแล้ว
          2. การบูรณะซ่อมแซม เป็นการบุรณะซ่อมแวมทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดความเสียหายให้มีสภาพเหมือนเดิมหรือเกือบเท่าเดิม บางครั้งอาจเรียกว่าพัฒนาก้ได้ เช่น ป่าไม้ถูกทำลายหมดไป ควรมีการปลูกป่าขึ้นมาทดแทน จะทำให้มีพื้นที่บริเวณนั้นกลับคืนเป็นป่าไม้อีกครั้งหนึ่ง
          3. การปรับปรุงและการใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นการนำแร่โลหะประเภทต่าง ๆ มาถลุงแล้วนำไปสร้างเครื่องจักรกล เครื่องยนต์ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งจะให้ประโยชน์แก่มนุยษ์เรามากยิ่งขึ้น
          4. การนำมาใช้ใหม่ เป็นการนำทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วมาใช้ใหม่ เช่น เศษเหล็ก สามารถนำกลับมาหลอม แล้วแปรสภาพสำหรับการใช้ประโยชน์ใหม่ได้
          5. การใช้สิ่งอื่นทดแทน เป็นการนำเอาทรัพยากรอย่างอื่นที่มีมากกว่า หรือหาง่ายกว่า มาใช้ทดแทนทรัพยากรธรรมชาติที่หายากหรือกำลังขาดแคลน เช่น นำพลาสติกมาใช้แทนโลหะในบางส่วนของเครื่องจักรหรือยานพาหนะ
          6. การสำรวจหาแหล่งทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มเติม เพื่อเตรียมไว้ใช้ประโยชน์ในอนาคต เช่น การสำรวจแหล่งน้ำมันในอ่าวไทย ทำให้ค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติเป็นจำนวนมาก สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว อีกทั้งช่วยลดปริมาณการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากต่าง
          7. การประดิษฐ์ของเทียมขึ้นมาใช้ เพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ชนิดอื่น ๆ ที่นิยมใช้กัน ของเทียมที่ผลิตขึ้นมา เช่น ยางเทียม ผ้าเทียม และผ้าไหมเทียม เป็นต้น
          8. การเผยแพร่ความรู้ เป็นการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อที่จะได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่ และรัฐควรมีบทบาทในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการวางแผนจัดทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างรัดกุม
          9. การจัดตั้งสมาคม เป็นการจัดตั้งสมาคมหรือชมรมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม




ที่มา : http://www.rmuti.ac.th/user/thanyaphak
d
d
d
d
d
d
d
d
d
d
d
d
d
d
d
d
d



วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2557

10 เมืองที่มลพิษทางอากาศรุนแรงที่สุด


                                                                                                                                
"ในปี 2012 มลพิษทางอากาศคร่าชีวิตคนไปแล้วกว่า 6 ล้านคนทั่วโลก"

ข้อความในรายงานขององค์การอนามัยโลกกำลังย้ำเตือนให้เราหันมา "มองเห็น" ความสำคัญของสิ่งที่มองไม่เห็นกันบ้าง

จากข้อมูลข้างต้น ทำให้ "มลพิษทางอากาศ" ขึ้นแท่นเป็นปัญหาทาง
อนามัยสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่ที่สุด จำนวนคนที่เสียชีวิตจากโรคมาลาเรียและเอดส์รวมกันยังน้อยกว่ามลพิษทางอากาศเสียอีก

และที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ ปัญหานี้ยังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
งานศึกษาฉบับล่าสุดจากตัวแทนขององค์การสหประชาชาติ พบว่า มลพิษทางอากาศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่การสำรวจในปี 2011 ทำให้คนเมืองมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง โรคทางหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจมากขึ้น และในปีที่ผ่านมา หน่วยงานนานาชาติเพื่อการวิจัยมะเร็งขององค์การอนามัยโลก (IARC) ได้ระบุอย่างเป็นทางการว่า มลพิษทางอากาศในที่กลางแจ้งเป็นปัจจัยที่ทำให้มนุษย์เป็นมะเร็ง โดย IARC แสดงให้เห็นว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างมลพิษทางอากาศกับมะเร็งปอดและมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ


ในรายงานปี 2014 นักวิจัยได้สำรวจมลพิษทางอากาศช่วง 5 ปีที่ผ่านมาในเกือบ 1,600 เมือง จาก 91 ประเทศ โดยเก็บข้อมูลจากอนุภาคฝุ่นละอองเป็นปัจจัยหลัก รายงานชิ้นนี้ระบุว่า คนเมืองทั่วโลกกว่าครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในเมืองที่มีปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินกว่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลกถึง 2.5 เท่า และมีประชากรเมืองเพียง 12 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่อาศัยในเมืองที่ค่าคุณภาพอากาศอยู่ในมาตรฐาน




โดยเมืองที่มีปัญหามลพิษทางอากาศรุนแรงทีสุดคือ

1. เดลี ประเทศอินเดีย
2. ปัตนะ ประเทศอินเดีย
3. กวาลิเออร์ ประเทศอินเดีย
4. ไรปุระ ประเทศอินเดีย
5. การาจี ประเทศปากีสถาน
6. เปชวาร์ ประเทศปากีสถาน
7. ราวัลปินดี ประเทศปากีสถาน
8. คอร์รามาบัด ประเทศอิหร่าน
9. อาเมดาบัด ประเทศอินเดีย
10. ลัคเนา ประเทศอินเดีย



องค์การอนามัยโลกให้ข้อมูลว่า สาเหตุหลักของมลพิษมาจากการปล่อยไอเสียจากยานพาหนะและจากโรงงาน นอกจากนี้ ยังมาจากการปล่อยมลพิษจากอาคารบ้านเรือนด้วย ซึ่งบางพื้นที่ยังใช้ถ่านหินและฟืนทำอาหารหรือสร้างความอบอุ่นในบ้าน


สำหรับเมืองที่ปัญหาคุณภาพอากาศอยู่ในระดับต่ำ อยู่ในประเทศแคนาดา สหรัฐอเมริกา ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์และสวีเดน




ที่มา : "The 10 cities with the worst air pollution in the world"  www.mnn.com