
เนื่องจากความต้องการใช้พลังงานมีความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามสภาพเศรษฐกิจ โดยดูได้จาก GDP จะพบว่าเรามีการใช้ไฟฟ้าในช่วงสูงสุด ประมาณ
26,000 เมกะวัตต์
ขณะที่เรามีกำลังผลิตที่จะซัพพลายประมาณ
33,000
เมกะวัตต์
แต่ละปีจะมีปริมาณการใช้ไฟจะสูง 4.5 -5 % และหากมองในแง่ของอุตสาหกรรมจะพบว่าปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมจะสูงขึ้นเฉลี่ยปีละเกือบ
40
%
แม้ว่าจะเดินหน้าตามแผน PDP (Power
Development Plan)คาดไว้ว่าอีก 17 ปี จะมีการใช้ไฟดับเบิ้ลขึ้นไปประมาณ
70,000
เมกะวัตต์
เฉลี่ยแล้วอาจจะต้องผลิตไฟฟ้าเพิ่มปีละ
1,000
เมกะวัตต์ แต่ที่ผ่านมาไทยแทบไม่มีการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มขณะที่โรงไฟฟ้าเก่าเริ่มทยอยหมดอายุการใช้งาน
คุณผู้อ่านคงพอจะมองเห็นภาพ อนาคตพลังงานไทย ได้อย่างลางๆ
คราวนี้เรามาดูน้ำมันกันบ้าง
แม้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาประเทศไทยจะมีความพยายามในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานประเภทต่างๆ
ที่มิใช่ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ สำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าและใช้สำหรับภาคการขนส่ง
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเทศไทยยังมีความจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบ
และก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศในปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ปริมาณการใช้พลังงานน้ำมันที่สูงขึ้นของประเทศไทย
สัมพันธ์กับหลายปัจจัยทั้งอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
การขยายตัวของการขนส่งสินค้าทางถนน
จำนวนรถยนต์ที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย
รวมถึงนโยบายจากรัฐบาลที่สนับสนุนให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงการเป็นเจ้าของรถยนต์
(นโยบายรถคันแรก)
นอกจากนี้
นโยบายการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในระดับที่ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร และการเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางน้ำ
การขนส่งสินค้าในระบบรางยังอยู่ในระหว่างการลงทุน
ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ประเทศไทยยังอยู่ในภาวะพึ่งพาพลังงานที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการนำเข้าน้ำมันดิบสูงถึงกว่า 85 % ของปริมาณความต้องการใช้ทั้งในภาคการผลิต
ภาคอุตสาหกรรมและภาคการขนส่งภายในประเทศ

จากฐานความจริงในขณะนี้เชื่อว่าคงพอจะมองเห็นอนาคตพลังงานไทยแล้วว่าจะเป็นเช่นไร
แม้ว่าในขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังสามารถที่จะตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้เพื่อพยายามประคอง
อนาคตพลังงานไทย ให้บรรลุเป้าหมายในฐานะที่เป็นศูนย์กลางอาเซียน
ดูเหมือนว่าความหวังของ
อนาคตพลังงานไทย คงต้องฝากไว้กับการเปิด AEC ในครั้งนี้ เนื่องจากการประท้วงในเรื่องการตั้งโรงไฟฟ้าในทุกพื้นที่ของประเทศ
ทำให้แทบจะหมดทางเลือกในเรื่องความยั่งยืนด้านพลังงานแต่ก็ยังไม่ได้บอกว่า อนาคตพลังงานไทย
ถึงขั้นอัสดง เพราะอย่างน้อยยังมีอีกหลายชาติในอาเซียนที่ยินดีจะขายพลังงานให้กับไทย
อาทิ เมียนมาร์ ลาว และในอนาคตก็คือเวียดนามในการที่ส่งพลังงานเข้ามาในประเทศไทย
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไทยจะเป็นได้แค่เพียง
“ลูกค้า” ของประเทศเหล่านี้เพราะถึงอย่างไรกลุ่มประเทศดังกล่าวแม้จะมีทรัพยากรมหาศาลแต่ขาดเทคโนโลยีซึ่งไทยก็จะลงทุนสายส่งและบริหารจัดการในเรื่องนี้เนื่องจากไทยอยู่ตรงกลางของภูมิภาค
การที่เมียนมาร์จะขายไฟให้กับกัมพูชา
อย่างไรก็ต้องผ่าน “สายส่งไฟฟ้า” ของไทย หรือแม้แต่ในอนาคตหากเวียดนามสามารถสร้างโรงฟ้านิวเคลียร์ได้สำเร็จ
และเขาต้องการขายไฟฟ้าให้กับเมียนมาร์ในส่วนพื้นที่(ตามแนวชายแดน) ซึ่งรัฐบาลเมียนมาร์ยังไม่เข้าไปลงทุนในเรื่องสายส่งไฟฟ้าก็ต้องส่งผ่านประเทศไทย
สิ่งเหล่านี้คือ “โอกาส” ของไทยในอนาคต
การใช้พลังงานในประเทศไทย
แหล่งพลังงานของประเทศสมาชิกอาเซียน
นอกจากนี้การวิจัยและพัฒนาในเรื่องของพลังงานทางเลือกก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ
แม้ว่าพลังงานทางจะไม่สามารถทดแทนพลังงานที่มาจากฟอสซิลได้ทั้งหมดแต่อย่างน้อยก็ทำให้ปริมาณการนำเข้าไฟฟ้าหรือเชื้อเพลิงอื่นๆลดลงเนื่องจากขณะนี้ไทยคือประเทศที่มีเทคโนโลยีเรื่องพลังงานทางเลือกเป็นอันดับต้นๆในอาเซียน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวมวล การปลูกพืชพลังงาน สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นกำลังสำคัญที่จะสร้างความยั่งยืนให้กับอนาคตพลังงานไทย
สุดท้ายสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ประชาชนคนไทยต้องตระหนักถึงความสำคัญของพลังงานโดยการใช้อย่างประหยัดและรู้คุณค่าเพราะหากคุณช่วยกันประหยัดเพียงคนละนิด
60 กว่าล้านก็นับว่ามหาศาล ถ้าช่วยกันเช่นนี้ อนาคตพลังงานไทย ย่อมยั่งยืนได้อย่างแน่นอนครับ
ที่มา : http://www.xn-
-12cfbl0e0ad9tmdvd.com/%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%99-aec/