Pages

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

งานวิจัยสุดทึ่ง!! ผลิตไฟฟ้าจากใยของ “ดักแด้”


        นักวิทยาศาสตร์จากอินเดียค้นพบวิธีการเก็บเกี่ยวส่วนประกอบในรังดักแด้ มาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าโดยการใช้น้ำ 

คุณรู้หรือไม่ว่า แท้ที่จริงเยื่อดักแด้ของหนอนไหมนั้น เต็มไปด้วยส่วนประกอบของโซเดียม, คลอรีน, โพแทสเซียม, แมกนีเซียม, กำมะถัน, แคลเซียมและทองแดง เช่นเดียวกับคาร์บอน, ไนโตรเจนและออกซิเจน  นำมาซึ่งการวิจัยในการผลิตพลังงานจากส่วนประกอบเหล่านั้นในรังดักแด้

        โดยการวิจัยนี้ได้ตีพิมพ์ในรายงานวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีใจความสำคัญว่า รังของนอนไหมนั้นสามารถนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าที่สะสะอาด เพื่อให้พลังงานแก่เครื่องใช้ไฟฟ้า รวมไปถึงเป็นแหล่งพลังงานในอุตสาหกรรมแร่เหล็กและโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ได้ 

โดยนักวิจัยนั้นได้ติดขั้วไฟฟ้าอลูมิเนียมไปยังผิวด้านในของรังหนอนไหม และติดขั้วไฟฟ้าทองแดงไปยังพื้นผิวด้านนอก หลังจากนั้นให้รังหนอนไหมได้สัมผัสกับไอน้ำ ซึ่งเชื่อมต่อของชุดหลอดไฟ เพื่อให้พลังงานแก่หลอดไฟ LED นอกจากนั้นนักวิทยาศาสตร์ยังชาร์จรังหนอนไหมกับแหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสตรงเพื่อดูว่ามันจะสามารถทำหน้าที่เป็นตัวเก็บประจุไฟฟ้าได้หรือไม่ ผลปรากฏว่ามันสามารถให้พลังงานแก่หลอดไฟได้ 2 ถึง 3 นาทีก่อนที่ไฟฟ้ากระแสตรงจะถูกตัดออกไป   

ทั้งนี้ มีงานวิจัยที่ฟลอริดาที่กำลังศึกษาคุณสมบัติการผลิตพลังงานจากใยแมงมุมเช่นเดียวกัน และงานวิจัยชิ้นนี้นั้น ได้พุ่งเป้าไปถึงการใช้รังของดักแด้มาผลิตเป็นแบตเตอรี่เชิงพาณิชย์  ไม่เพียงแค่นั้นนักวิจัยยังหวังว่าแบตเตอรี่นี้จะสามารถทำมาจากเส้นใยโปรตีนเซริซิน ซึ่งเป็นของเสียในการผลิตสิ่งทอเชิงพาณิชย์อีกด้วย

ที่มา http://inhabitat.com

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ตื่นตา แมงกะพรุนถ้วยหลากสี!! ลอยตัวเต็มทะเลระยอง

             ระยอง-แห่ชม

         แมงกะพรุนถ้วยหลากสีนับล้านลอยเหนือผิวน้ำทะล ในอุทยานเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด จ.ระยอง ในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย.
        วันที่ 22 สิงหาคม 2557 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณทะเลภายในอุทยานเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด ต.บ้านเพ อ.เมือง จ.ระยอง มีแมงกะพรุนหลากสีนับล้านตัวได้ลอยตัวเหนือผิวน้ำหน้าอ่าว สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยนำกล้องบันทึกภาพความสวยงามเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย

        โดยบริเวณดังกล่าวพบว่ามีแมงกะพรุนขนาดประมาณเท่ากำปั้นลอยเป็นแพเต็มทะเลจนมองไม่เห็นน้ำทะเล มีทั้งตัวสีขาว สีน้ำตาล และสีออกเทาดำ ลอยกันเต็มทั่วทะเลบริเวณดังกล่าวทั่วบริเวณ ระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร คาดมีจำนวนนับล้านตัวทั่วทั้งอ่าว

         ทางด้าน นายสุเมธ สายทอง หัวหน้าอุทยานเข้าแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด กล่าวว่า แมงกะพรุนที่พบเป็นแมงกะพรุนหลากสีคล้ายกับที่ขึ้นในทะเลจังหวัดตราด ซึ่งปกติแล้วจะมีให้เห็นทุกปีในระหว่างเดือนสิงหาคมถึงปลายเดือนกันยายน แต่สำหรับปีนี้นับว่ามีมากกว่าทุกปี จนเต็มทั่วพื้นที่ทะเลของอุทยานฯ

         อย่างไรก็ตาม ทางอุทยานฯ ได้ประกาศห้ามลงเล่นน้ำในบริเวณดังกล่าวเพราะเกรงจะได้รับอันตรายจากแมงกะพรุน และห้ามจับสัตว์น้ำรอบบริเวณอย่างเด็ดขาด เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เดินทางมาเที่ยวชมปรากฏการณ์ธรรมชาติที่นับว่ามีความสวยงามกับฝูงแมงกะพรุนนับล้านตัวที่แหวกว่ายกันจนทำให้กลายเป็นทะเลกะพรุนไปเลย หากนักท่องเที่ยวต้องการมาเที่ยวชม ก็สามารถมาได้ที่อุทยานเขาแหลมหญ้าฯ ทุกวัน แต่ควรมาในช่วงเช้าและช่วงเย็นจะมีมากกว่าช่วงที่แดดจัด

         ขณะที่ นายโชค สมุทรไชย อายุ 67 ปี ชาวประมงริมหาดดังกล่าว เปิดเผยว่า แมงกะพรุนดังกล่าวเป็นแมงกะพรุนถ้วยสายพันธุ์หนึ่งแต่จะมีหลากสีและมีพิษหากถูกจะมีอาการคัน และไม่สามารถนำมารับประทานได้ ชาวประมงจะทราบกันดีและไม่มีใครกล้าจับ เพราะหากสัมผัสถูกผิวหนัง จะมีอาการแสบร้อนและจะคัน หากบางคนที่แพ้อาจถึงขั้นต้องนำส่งโรงพยาบาล จึงอยากฝากเตือนนักท่องเที่ยวไม่ควรสัมผัสโดยเด็ดขาด


ระยอง-แห่ชม

ระยอง-แห่ชม


ที่มา : http://travel.kapook.com/view96475.html

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

งานวิจัยเผย หลังคาสีขาวให้ประสิทธิภาพต่อต้านโลกร้อนมากกว่าหลังคาสีเขียวถึง 3 เท่า



       เรารู้กันดีอยู่ว่าหลังคาสีเขียวนั้นให้คุณประโยชน์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นฉนวนกันความร้อน ชะลอแรงน้ำฝน ให้ความเย็นเป็นที่มาของค่าไฟฟ้าที่ลดลง และเพิ่มก๊าซออกซิเจนให้กับโลกของเรา

        แต่การวิจัยนี้อาจเปลี่ยนความคิดที่มีอยู่โดยสิ้นเชิง เมื่อผลการวิจัยใหม่ได้ออกมาว่า การทาสีหลังคาสีขาว มีความสามารถในการต่อกรกับสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพและมากกว่าหลังคาสีเขียวถึง 3 เท่า 

        งานวิจัยนี้ได้ตีพิมพ์ในวารสารพลังงานและอาคาร โดยนักวิจัยจากสถาบันวิจัยแห่งชาติ  “Lawrence Berkeley  ที่ใช้ขบวนการวิเคราะห์เศรษฐกิจทางด้านต้นทุนและคุณประโยชน์ เปรียบเทียบกันระหว่างหลังคาสีเขียว หลังคาสีขาวและหลังคาสีดำ ผลปรากฏว่าหลังคาสีขาวมีการสะท้อนความร้อนและเก็บกักความเย็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

        ซึ่งการค้นพบที่น่าประหลาดใจนี้ อาจเข้ามามีบทบาทสำคัญในการลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง แก้ปัญหาสภาพอากาศที่ร้อนระอุในช่องฤดูร้อน เพราะหลังคาสีขาวสามารถลดอุณหภูมิที่แตกต่างกันได้ในระยะทางถึงครึ่งไมล์เหนือพื้นดินเลยทีเดียว

        นับเป็นการวิจัยที่เข้ามาเป็นตัวเลือกในทางกลยุทธ์สำหรับการต่อกรกับสภาพภูมิอากาศ นอกจากการสร้างหลังคาสีเขียว ที่ถึงแม้จะให้ประสิทธิภาพในการสะท้อนความร้อนน้อยกว่า แต่ในด้านระบบนิเวศ การเป็นพื้นที่สีเขียวและความสวยงาม ก็ถือเป็นคุณประโยชน์และความชอบส่วนบุคคลที่จะนำไปใช้แตกต่างกันไป 




ที่มา :  http://www.energysavingmedia.com/news/page.php?a=10&n=131&cno=6081

วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557

"พลังงานชีวภาพ" หนทางในการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน

ทรัพยากรชีวมวล คือมวลสารของสิ่งมีชีวิต ซึ่งอาจเป็นป่าไม้ ผลผลิตสินค้าเกษตร และ กากเหลือของทางการเกษตร เช่น แกลบ ฟางข้าว ชานอ้อย กะลาปาล์ม กะลามะพร้าว หรือของเสียอินทรีย์จากโรงงานอุตสาหกรรมเกษตร ฯลฯ รวมทั้งมูลสัตว์เช่น ไก่ หมู วัว เป็นต้น อย่างไรก็ดี ทรัพยากรที่ควรจะนำมาพัฒนาเป็นพลังงานในอนาคตก็คือ กากของเหลือทางการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร รวมถึงมูลสัตว์ต่างๆ ซึ่งเป็นทรัพยากรที่หาง่ายและมีราคาถูก พลังงานชีวภาพ (อีกชื่อหนึ่งคือพลังงานชีวมวล) ใช้วัสดุอินทรีย์เหล่านี้เป็นเชื้อเพลิง โดยใช้เทคโนโลยี เช่น การสะสมก๊าซ การเปลี่ยนเป็นก๊าซ (การเปลี่ยนแปลงวัสดุแข็งเป็นก๊าซ) การเผาไหม้ และ การย่อยสลาย (สำหรับของเสียเปียก)

พลังงานชีวภาพ สามารถเป็นหนึ่งในวิธีการอันยั่งยืนในการแก้ปัญหาโลกร้อน โดยสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากขนส่งมวลชนบนถนน โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับการขนส่งที่มีประสิทธิภาพทางพลังงาน
จุดแข็งของประเทศไทยด้านพลังงานชีวภาพ

เชื้อเพลิงพลังงานชีวภาพอัดแท่งเหล่านี้ ได้มาจากเศษวัสดุทางธรรมชาติในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ทั้งชานอ้อย หญ้าแห้ง และเศษไม้จากการตัดแต่ง แม้จะเคยถูกมองว่าเป็นขยะ แต่ปัจจุบันขยะเหล่านี้มีค่ามากขึ้น เพราะถือเป็นเชื้อเพลิงพลังงานชีวภาพสำคัญในการผลิตกระแสไฟฟ้า ทดแทนการใช้ถ่านหินและน้ำมันเตา ซึ่งกำลังลดลงเรื่อยๆ และยังสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. มองว่า เชื้อเพลิงพลังงานชีวภาพ ยังคงเป็นพระเอกในกลุ่มพลังงานทดแทนของไทย เนื่องจากไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม

สาหร่ายน้ำมัน หนึ่งในพลังงานชีวภาพแห่งอนาคต

ปตท.รุกดีเซลสาหร่าย หวังทดแทนน้ำมันไม่ง้อตะวันออกกลาง ปตท. ตั้งเป้าปี 2560 จะผลิตน้ำมันจากสาหร่ายในเชิงพาณิชย์เพื่อเป็นพลังงานชีวภาพทดแทน ชี้มีศักยภาพสูง โดยให้ผลผลิตมากกว่าปาล์มน้ำมันถึง 30 เท่า

นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ปตท. และองค์การวิทยาศาสตร์และวิจัยอุตสาหกรรมแห่งออสเตรเลีย หรือ CSIRO (ซีโร่) ได้ตกลงในข้อหารือเพื่อเดินหน้าร่วมกันในการพัฒนาสายพันธุ์สาหร่ายน้ำเค็มในออสเตรเลีย เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่เหมาะสมในการผลิตน้ำมัน มีต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะนำมาสู่การขยายการลงทุนด้านสาหร่ายน้ำมันของ ปตท. ในออสเตรเลีย เพื่อเป็นแหล่งสำรองเชื้อเพลิงชีวภาพอีกทางหนึ่ง โดยความร่วมมือดังกล่าว ปตท.จะได้รับองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีสาหร่ายน้ำมัน เพื่อมาต่อยอดในโครงการวิจัยและพัฒนาสาหร่ายน้ำมันในประเทศไทย
ทั้งนี้ ปตท. ได้ร่วมมือกับสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยต่างๆ ในประเทศ ดำเนินงานวิจัยมาตั้งแต่ปี 2550  จนค้นพบว่าสาหร่ายน้ำจืดขนาดเล็กมีศักยภาพในการผลิตน้ำมัน และได้สร้างบ่อนำร่องผลิตน้ำมันขนาด  1  แสนลิตร ที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย หรือ วว.  และที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติ จ.ระยอง โดยใช้คาร์บอนไดออกไซด์จากโรงแยกก๊าซฯ เพาะเลี้ยงสาหร่าย ซึ่งสาหร่ายจะให้น้ำมันมากกว่าปาล์มถึง 20-30 เท่า เชื่อว่าในอีก 20-30 ปีข้างหน้า จะมีการผลิตน้ำมันจากสาหร่ายในเชิงพาณิชย์มากขึ้น และแพร่หลาย

ด้านนายวิจิตร แตงน้อย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สถาบันวิจัยและเทคโนโลยี บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่ ปตท.สนใจ ประเทศออสเตรเลียเพราะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีสาหร่ายหลายสายพันธุ์ และมีภูมิประเทศที่เหมาะสม แม้การเพาะเลี้ยงสาหร่ายในออสเตรเลียซึ่งเป็นสายพันธุ์น้ำเค็ม จะแตกต่างกับไทยที่เป็นสายพันธุ์น้ำจืด แต่ ปตท.จะนำองค์ความรู้จาก CSIRO มาใช้ในการพัฒนาสาหร่ายน้ำมัน เพื่อเป็นพลังงานชีวภาพทดแทนรองรับความต้องการของประเทศในอนาคต

             

ที่มา : http://www.xn--12cfbl0e0ad9tmdvd.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E-2/

วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อนาคตพลังงานไทยใน AEC

        
         เนื่องจากความต้องการใช้พลังงานมีความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามสภาพเศรษฐกิจ  โดยดูได้จาก GDP จะพบว่าเรามีการใช้ไฟฟ้าในช่วงสูงสุด ประมาณ  26,000 เมกะวัตต์    ขณะที่เรามีกำลังผลิตที่จะซัพพลายประมาณ 33,000 เมกะวัตต์ แต่ละปีจะมีปริมาณการใช้ไฟจะสูง 4.5 -5 %  และหากมองในแง่ของอุตสาหกรรมจะพบว่าปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมจะสูงขึ้นเฉลี่ยปีละเกือบ 40 %

        แม้ว่าจะเดินหน้าตามแผน PDP (Power Development Plan)คาดไว้ว่าอีก 17 ปี  จะมีการใช้ไฟดับเบิ้ลขึ้นไปประมาณ 70,000 เมกะวัตต์   เฉลี่ยแล้วอาจจะต้องผลิตไฟฟ้าเพิ่มปีละ 1,000 เมกะวัตต์  แต่ที่ผ่านมาไทยแทบไม่มีการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มขณะที่โรงไฟฟ้าเก่าเริ่มทยอยหมดอายุการใช้งาน คุณผู้อ่านคงพอจะมองเห็นภาพ อนาคตพลังงานไทย ได้อย่างลางๆ

        คราวนี้เรามาดูน้ำมันกันบ้าง แม้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาประเทศไทยจะมีความพยายามในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานประเภทต่างๆ ที่มิใช่ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ สำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าและใช้สำหรับภาคการขนส่ง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเทศไทยยังมีความจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศในปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

         ปริมาณการใช้พลังงานน้ำมันที่สูงขึ้นของประเทศไทย สัมพันธ์กับหลายปัจจัยทั้งอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ การขยายตัวของการขนส่งสินค้าทางถนน จำนวนรถยนต์ที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย รวมถึงนโยบายจากรัฐบาลที่สนับสนุนให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงการเป็นเจ้าของรถยนต์ (นโยบายรถคันแรก)

         นอกจากนี้ นโยบายการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในระดับที่ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร และการเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางน้ำ การขนส่งสินค้าในระบบรางยังอยู่ในระหว่างการลงทุน ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ประเทศไทยยังอยู่ในภาวะพึ่งพาพลังงานที่นำเข้าจากต่างประเทศ  โดยเฉพาะการนำเข้าน้ำมันดิบสูงถึงกว่า 85 % ของปริมาณความต้องการใช้ทั้งในภาคการผลิต ภาคอุตสาหกรรมและภาคการขนส่งภายในประเทศ
        จากฐานความจริงในขณะนี้เชื่อว่าคงพอจะมองเห็นอนาคตพลังงานไทยแล้วว่าจะเป็นเช่นไร

        แม้ว่าในขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังสามารถที่จะตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้เพื่อพยายามประคอง อนาคตพลังงานไทย ให้บรรลุเป้าหมายในฐานะที่เป็นศูนย์กลางอาเซียน

        ดูเหมือนว่าความหวังของ อนาคตพลังงานไทย คงต้องฝากไว้กับการเปิด AEC ในครั้งนี้ เนื่องจากการประท้วงในเรื่องการตั้งโรงไฟฟ้าในทุกพื้นที่ของประเทศ ทำให้แทบจะหมดทางเลือกในเรื่องความยั่งยืนด้านพลังงานแต่ก็ยังไม่ได้บอกว่า อนาคตพลังงานไทย ถึงขั้นอัสดง เพราะอย่างน้อยยังมีอีกหลายชาติในอาเซียนที่ยินดีจะขายพลังงานให้กับไทย อาทิ  เมียนมาร์ ลาว และในอนาคตก็คือเวียดนามในการที่ส่งพลังงานเข้ามาในประเทศไทย

        แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไทยจะเป็นได้แค่เพียง ลูกค้า ของประเทศเหล่านี้เพราะถึงอย่างไรกลุ่มประเทศดังกล่าวแม้จะมีทรัพยากรมหาศาลแต่ขาดเทคโนโลยีซึ่งไทยก็จะลงทุนสายส่งและบริหารจัดการในเรื่องนี้เนื่องจากไทยอยู่ตรงกลางของภูมิภาค
        
        การที่เมียนมาร์จะขายไฟให้กับกัมพูชา อย่างไรก็ต้องผ่าน สายส่งไฟฟ้า ของไทย หรือแม้แต่ในอนาคตหากเวียดนามสามารถสร้างโรงฟ้านิวเคลียร์ได้สำเร็จ และเขาต้องการขายไฟฟ้าให้กับเมียนมาร์ในส่วนพื้นที่(ตามแนวชายแดน) ซึ่งรัฐบาลเมียนมาร์ยังไม่เข้าไปลงทุนในเรื่องสายส่งไฟฟ้าก็ต้องส่งผ่านประเทศไทย

สิ่งเหล่านี้คือ โอกาส ของไทยในอนาคต

การใช้พลังงานในประเทศไทย



แหล่งพลังงานของประเทศสมาชิกอาเซียน
ภาพจาก talkenergy
        นอกจากนี้การวิจัยและพัฒนาในเรื่องของพลังงานทางเลือกก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าพลังงานทางจะไม่สามารถทดแทนพลังงานที่มาจากฟอสซิลได้ทั้งหมดแต่อย่างน้อยก็ทำให้ปริมาณการนำเข้าไฟฟ้าหรือเชื้อเพลิงอื่นๆลดลงเนื่องจากขณะนี้ไทยคือประเทศที่มีเทคโนโลยีเรื่องพลังงานทางเลือกเป็นอันดับต้นๆในอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวมวล การปลูกพืชพลังงาน สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นกำลังสำคัญที่จะสร้างความยั่งยืนให้กับอนาคตพลังงานไทย
        สุดท้ายสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ประชาชนคนไทยต้องตระหนักถึงความสำคัญของพลังงานโดยการใช้อย่างประหยัดและรู้คุณค่าเพราะหากคุณช่วยกันประหยัดเพียงคนละนิด 60 กว่าล้านก็นับว่ามหาศาล ถ้าช่วยกันเช่นนี้ อนาคตพลังงานไทย ย่อมยั่งยืนได้อย่างแน่นอนครับ

ที่มา : http://www.xn-
-12cfbl0e0ad9tmdvd.com/%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%99-aec/